หลายท่านที่กำลังสนใจจะลงทุน ติดตั้ง โซล่ารูฟท็อป (Solar Rooftop) อาจจะมีข้อสงสัยว่า ควรจะติดตั้งเท่าไร่ถึงจะเหมาะสม แล้วควรหันไปทางทิศทางไหนถึงจะดี จนกระทั่งส่วนประกอบของระบบ โซล่ารูฟท็อป ควรจะมีอะไรบ้างหรือเลือกใช้อย่างไร รวมถึงตัวเลือกทางการเงิน V E จะมานำเสนอสาระสำคัญในการพิจารณาประเด็นดังกล่าว สำหรับระบบ โซล่ารูฟท็อป (Solar Rooftop) แบบ On-Grid ที่ผลิตใช้ไฟฟ้าเองเป็นหลัก โดยที่ไม่ได้ขายส่วนเกินคืนให้การไฟฟ้าฯ
Solar Rooftop ควรติดตั้งกี่กิโลวัตต์
การกำหนดค่ากำลังการผลิตของระบบโซล่ารูฟท็อป (Solar Rooftop) ที่เหมาะสมคือโจทย์ที่สำคัญ ที่จะแปลออกมาเป็นผลลัพธ์ความคุ้มคาของโครงการ ในส่วนนี้ V E จะอธิบายศัพท์เฉพาะทาง ตัวแปลกำหนดปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้ และปัจจัยหลักในการพิจารณาเลือกขนาดกำลังการผลิตของระบบฯ
เข้าใจข้อแตกต่างระหว่าง kW และ kWp
ท่านสงสัยมั๊ยว่า ทำไมหน่วยกำลังการผลิตของแผงโซล่าเซลล์จะต้องมี p อยู่ด้านหลัง
p ย่อมาจากคำว่า peak หรือสูงสุด ดังนั้น Wp แปลว่าค่ากำลังการผลิตสูงสุดของแผงโซล่าเซลล์ การวัดพิกัดค่ากำลังการผลิตของแผงโซล่าเซลล์จะจัดทำที่ค่ามาตรฐาน Standard Testing Condition (STC) ซึ่งกำหนดค่าแสงที่ 1,000 W/m2 อุณหภูมิเซลล์ที่ 25°C และความหนาของอากาศที่ 1.5 แต่ในสภาวะการผลิตไฟฟ้าจริงอาจจะมีค่าแสงไม่ถึง 1,000 W/m2 ขึ้นอยู่กับฤดูกาล สภาพอากาศ และช่วงเวลาของวัน อีกทั้งเซลล์จะมีอุณหภูมิอยู่ราวๆ 50 – 60°C จึงทำให้กำลังไฟฟ้าที่ผลิตได้ต่ำกว่าค่าพิกัดที่ระบุไว้
อากาศร้อนไม่ได้ทำให้เซลล์มีกำลังไฟฟ้าที่มากขึ้น แต่กลับกัน อากาศร้อนทำให้เซลล์สามารถผลิตกำลังไฟฟ้าได้น้อยลง เพียงแค่ว่าเวลาอากาศร้อนมักจะมีรังสีแสงอาทิตย์มาก รังสีคือสิ่งที่ทำให้แผงโซล่าเซลล์สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากขึ้น
ยกตัวอย่าง หากท่านใช้ไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอที่ 100kW และต้องการติดตั้ง โซล่ารูฟท็อป (Solar Rooftop) อย่างแรกคือจะต้องตรวจสอบว่าพิกัดกำลังการผลิตของอินเวอร์เตอร์จะต้องไม่น้อยกว่า 100kVA เพื่อให้ผลลัพธ์การทดแทนไฟฟ้าได้อย่างเติมที่ ท่านควรกำหนดให้ค่ากำลังการผลิตรวมของแผงโซล่าเซลล์อยู่ระหว่าง 1.2 – 1.5 เท่าของค่ากำลังไฟฟ้าที่ใช้อย่างสม่ำเสมอ ในกรณีนี้คือ 120 – 150 kWp
กราฟด้านบนเป็นตัวอย่างผลลัพธ์การผลิตไฟฟ้า สำหรับระบบโซล่ารูฟท็อป ขนาดกำลังการผลิต 150kWp การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์จะมีรูปทรงเหมือนระฆัง นั้งก็คือแสงอาทิตย์จะแรงที่สุดช่วงเที่ยงวันและจะอ่อนแรงช่วงเช้าและช่วงเย็น จะสังเกตได้ว่าช่วง มีนาคม ถึง เมษายน ที่เป็นช่วงที่แสงอาทิตย์แรงที่สุดโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) จะสามารถผลิตกำลังไฟฟ้าได้มากกว่า 100kW เพียงไม่มาก ในฤดูอื่นๆจะผลิตไฟฟ้าได้อาจจะใกล้เคียง 100kW แต่ก็ยังไม่ถึง และจะผลิตได้น้อยมากในวันที่เมฆหนา
การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ จึงไม่ใช่สิ่งที่สามารถกำหนดได้อย่างตายตัว และด้วยความไม่แน่ไม่นอนจึงทำให้เราสามารถประเมินการเชิงสถิติเท่านั้น และเป็นเหตุผลว่าทำไมโซล่ารูฟท็อป (Solar Rooftop) ที่ไม่มีระบบกักเก็บพลังงาน ยังจะต้องทำงานร่วมกับโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าฯเพื่อให้คงมีเสถียรภาพในการผลิตไฟฟ้า
เข้าใจข้อแตกต่างระหว่าง kW และ kWh
ระยะทางจากกรุงเทพไปเชียงใหม่อยู่ที่ราวๆ 700 กิโลเมตร หากท่านต้องการเดินทางไปเชียงใหม่โดยใช้เวลา 7 ชั่วโมง ท่านสามารถเลือกเดินทางโดยรถยนต์ได้ เพราะว่ารถยนต์มีกำลังแรงม้ามากพอที่จะทำให้รถวิ่งมนอัตรา 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่กลับกัน ถ้าท่านต้องการเดินทางภายในเวลา 2 ชั่วโมง แน่นอนว่ารถยนต์จะไม่มีกำลังแรงม้ามากพอที่จะพาไปที่หมายภายในระยะเวลาที่กำหนด และเช่นกันกับระบบโซล่ารูฟท็อป (Solar Rooftop) การกำหนดขนาดกำลังการผลิต kW ควรจะต้องสอดคล้องกันกับอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าด้วย
kW คือหน่วยวัดอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้า นั้นก็คือความเร็วในการใช้พลังงานไฟฟ้า ส่วน kWh คือค่าปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ นั้นก็คือผลลัพธ์ของการใช้กำลังไฟฟ้าในระยะเวลาหนึ่ง kW เทียบเท่ากับความเร็วและ kWh เทียบเท่ากับระยะทางในตัวอย่างด้านบน
ปัจจุบัน การไฟฟ้าฯคิดค่าไฟฟ้า 4-5 บาทต่อหน่วย 1 หน่วยก็คือ 1 kWh เทียบเท่ากับการใช้กำลังไฟฟ้า 1 kW จำนวน 1 ชั่วโมง หรือ ใช้กำลังไฟฟ้า 0.5 kW จำนวน 2 ชั่วโมง หรือ 2kW ภายในครึ่งชั่วโมง ในรูปแบบ
(อัตราการใช้พลังงานไฟฟ้า หรือ กำลังไฟฟ้า kW) x (ระยะเวลา h) = (พลังงานไฟฟ้า kWh)
ซึ่งส่วนประกอบหลักของค่าไฟฟ้าที่ท่านชำระให้การไฟฟ้าฯในแต่ละเดือนก็จะมาจากปริมาณหน่วยไฟฟ้า kWh ที่ใช้ทั้งหมดในรอบ 1 เดือน (สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่จะมีค่า demand charge ด้วย ซึ่งจะคิดค่ากำลังไฟฟ้าที่ใช้สูงสุดในรอบ 1 เดือน)
เพื่อกำหนดค่ากำลังการผลิตของอินเวอร์เตอร์ การระบุแค่ปริมาณหน่วยไฟฟ้า kWh ที่ใช้ทั้งหมดในรอบ 1 เดือนยังไม่เพียงพอที่จะสามารถบอกได้ว่าควรจะใช้ขนาดเท่าไร่ เนื่องจากว่าค่าพลังงานไฟฟ้ารวมทั้งเดือนบางส่วนอาจจะมาจากการใช้ไฟฟ้าในตอนกลางคืน ซึ่งจะยังไม่ได้บ่งบอกถึงอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าในตอนกลางวันที่โซล่ารูฟท็อป (Solar Rooftop) สามารถผลิตได้ ดังนั้น การออกแบบขนาดพิกัดกำลังการผลิตของอินเวอร์เตอร์ที่ดี คือการกำหนดให้ขนาดของอินเวอร์เตอร์ใกล้เคียงและไม่น้อยกว่าอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอในตอนกลางวัน
Solar Rooftop หนึ่งวันสามารถผลิตไฟฟ้าได้กี่ชั่วโมง
จริงหรือไม่ที่โซล่ารูฟท็อป (Solar Rooftop) หนึ่งวันสามารถผลิตได้ประมาณ 4 ช.ม. แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แปลว่าระบบฯจะผลิตได้จากเวลากี่โมงถึงกี่โมง
เพื่อตอบคำถามนี้ เราควรทำความเข้าใจก่อนว่าระบบฯจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้เมื่อมีเชื้อเพลิง ในกรณีนี้คือแสงอาทิตย์ ดังนั้น ตั้งแต่ 6 โมงเช้าจนถึง 6 โมงเย็น จะเป็นช่วงเวลาที่ระบบฯสามารถผลิตไฟฟ้าได้ แต่ในระหว่าง 12 ช.ม. นี้ กำลังไฟฟ้าที่ผลิตได้จะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของวัน ฤดู และสภาพอากาศ
ช่วงเวลาเที่ยงวันจะเป็นเวลาที่แสงอาทิตย์ทำองศาตั้งฉากได้มากที่สุดและการศูนย์เสียในชั้นบรรยากาศน้อยที่สุด จึงทำให้กำลังไฟฟ้าที่ผลิตได้มากกว่าช่วงเวลาอื่นของวัน จะสังเกตได้ว่าช่วงเช้าและช่วงเย็นแสงอาทิตย์จะเบากว่าช่วงเที่ยงวัน ดังนั้น การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์จึงมีรูปทรงเหมือนระฆัง แต่ก็ใช่ว่าทุกวันจะรูปทรงเหมือนระฆังเนื่องจากในวันที่มีเมฆหนาหรือฝนตก แสงแดดจะถูกบัง จึงทำให้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าน้อยตามลงไป
ฟังดูแล้วซับซ้อนจัง ถ้าเกิดว่าในระหว่าง 12 ช.ม. ที่ระบบฯสามารถผลิตไฟฟ้ากำลังไฟฟ้าไม่เท่ากัน เราจะคำนวนปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่สามารถทดแทนได้อย่างไร คำตอบก็คือ เราจะสามารถประมาณการปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่สามารถทดแทนได้ในเชิงสถิติเท่านั้น สภาพอากาศจะไม่เหมือนกันปีต่อปี แต่จะมีความใกล้เคียงกัน จะมีค่าเฉลี่ยของแต่ละเดือนที่ไม่ห่างกันมากเมื่อเทียบกันปีต่อปี
โปรแกรมอย่างเช่น PVSyst ที่ทำการจำลองการผลิตไฟฟ้าของระบบฯ จะให้ผลลัพธ์มาในรูปแบบของ Specific Production หรือค่ามาตรฐานที่แสดงจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่สามารถผลิตได้ต่อ 1kWp ต่อปี ณ ตำแหน่งติดตั้ง และหากตัดหน่วย kW/kWp ออกแล้วจะพบว่า ค่ามาตรฐานนี้ก็คือจำนวนชั่วโมงเฉลี่ยที่ระบบฯจะสามารถผลิตได้ใน 1 ปี ซึ่งถ้านำไปหารกับ 365 เราจะได้จำนวนชั่วโมงเฉลี่ยต่อวัน ยกตัวอย่าง กรณีระบบฯมีค่า Specific Production ที่ 1,450 kWh/kWp/Year เมื่อหาร 365 จะได้ค่าเฉลี่ยที่ 3.97 ช.ม. ต่อวัน
ข้อสังเกตคือค่ามาตรฐานนี้จะเป็นการเทียบกับ kWp หรือกำลังการผลิตสูงสุดของระบบฯ ดังนั้นค่าเฉลี่ย ช.ม. จะมีชื่อเรียกทางภาษาอังกฤษว่า Peak Hours หรือ Equivalent Hours ซึ่งเป็นค่าชั่วโมงเทียบเท่าที่สมมุติขึ้นมาว่าผลิตกำลังไฟฟ้าคงที่ที่ค่ากำลังการผลิตสูงสุดของแผงโซล่าเซลล์ เพื่อความสะดวกในการทำการคำนวนปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่สามารถผลิตได้
กราฟด้านบนคือตัวอย่างการผลิตไฟฟ้าสำหรับระบบฯขนาด 100 kWp จะเห็นได้ว่า Peak Hours คือการสมมุติว่าระบบฯผลิตไฟฟ้าที่กำลังการผลิตสูงสุด kWp จะได้กี่ ช.ม. เพื่อความสะดวกในการทำการคำนวนปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่สามารถผลิตได้เท่านั้น ส่วนในทางปฏิบัติจริงนั้น ระบบฯ จะผลิตไฟฟ้าเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตกดิน แต่กำลังไฟฟ้าที่ผลิตได้จะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของวัน ฤดู และสภาพอากาศ
ทิศทางและองศา
ตามที่ประเทศไทยอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรของโลกจึงทำให้การติดตั้งแผงโซล่าเซลล์หันรับแสงด้านทิศใต้จะทำให้ผลิตพลังงานไฟฟ้าได้มากที่สุดในรอบปี แล้วในกรณีที่หลังคาไม่มีพื้นที่มากพอหรือไม่สามารถติดตั้งแผงโซล่าเซลล์เพื่อหันรับแสงทางทิศใต้ เราจะสามารถติดตั้งทิศทางอื่นได้หรือไม่ ตารางต่อไปนี้จะทำการเปรียบเทียบผลการจำลองการผลิตไฟฟ้ากรณีติดตั้งในทิศทางต่างๆ
ทิศทาง | Specific Production (kWh/kWp/Year) | จำนวนชั่วโมงเฉลี่ยที่ผลิตได้ต่อวัน |
---|---|---|
ใต้ | 1,282 | 3.51 |
ตะวันออก | 1,236 | 3.39 |
ตะวันตก | 1,232 | 3.36 |
เหนือ | 1,182 | 3.24 |
จากผลการจำลองการผลิตไฟฟ้า จะสังเกตได้ว่าการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ที่หันรับไปทางทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตกก็ยังสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ใกล้เคียงกับทิศใต้ ถึงแม้ว่าจะผลิตได้ต่ำกว่านิดหน่อย และการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์หันรับไปทางทิศเหนือก็ยังสามารถผลิตไฟฟ้าได้ในปริมาณที่ต่ำกว่าทิศใต้ไม่มาก
เดิมในการติดตั้งลักษณะโซล่าฟาร์มขนาดใหญ่ ทิศทางเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจากองศาและทิศทางที่คลาดเคลื่อนจากจุด optimal เพียงนิดหน่อย จะส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินรายได้เป็นจำนวนมาก แต่สำหรับการติดตั้งบนหลังคา พื้นที่บนหลังคาที่เหมาะสมเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด การใช้พื้นที่ให้ได้มากที่สุดตามองศาและทิศทางของหลังคาจะสามารถทำประโยชน์ให้ท่านได้มากกว่าการพยายามดัดแปลงโครงสร้างเพื่อให้แผงโซล่าเซลล์หันรับทิศใต้ จึงแนะนำว่าในโครงการโซล่ารูฟท็อป (Solar Rooftop) ควรติดตั้งตามองศาและทิศทางเดิมของหลังคาเพื่อความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้างรองรับและลดความเสี่ยงของการรั่วซึ่มของหลังคา
ข้อจำกัดของพื้นที่หลังคา
ในโครงการโซล่ารูฟท็อป (Solar Rooftop) นอกจากการติดตั้งตามองศาของหลังคาจะเป็นวิธีการที่ทำให้เกิดประโยชน์ดีที่สุดแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆที่ท่านควรพิจารณาเช่น ผลกระทบของเงาที่อาจจะเกิดขึ้น รวมถึงการเผื่อพื้นที่ที่เพียงพอต่อการซ่อมบำรุง เพื่อการใช้พื้นที่ของหลังคาอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพที่สุด
สิ่งปลูกสร้างในบริเวณหลังคา เช่น เสาล่อฟ้า ราวกันตก ประตูขึ้นดาดฟ้า หรือแม้กระทั้งสิ่งปลูกสร้างรอบข้างเช่น อาคารและป้ายโฆษณา อาจจะก่อให้เกิดเงาในบางช่วงเวลาของวันหรือในบางฤดู เงาที่กระทบบนแผงโซล่าเซลล์แค่บางส่วนของหลังคาหรือบางส่วนของแผงจะทำให้ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าลดลง (ใบบางกรณีท่านจะสามารถใช้ Power Optimizer เพื่อลดผลกระทบของเงาได้) แต่ประสิทธิภาพที่ลดลงอาจไม่ใช่ผลกระทบเดียวของเงา กรณีที่เงานั้นเป็นเงาคงที่กระทบตำแหน่งเดิมตลอดเวลาเป็นเวลานานจะทำให้แผงโซล่าเซลล์ร้อนกว่าปกติ หรือที่เราเรียกว่า Hot Spot และจะทำให้เกิดการไหม้ของแผงต่อไป
ตัวอย่างการติดตั้งในรูปภาพด้านบน ท่านจะสังเกตได้ว่าพื้นที่หลังคาส่วนที่ highlight เป็นสีส้ม จะมีการเว้นระยะจากไม่น้อยกว่า 1.2 เท่าของความสูงของกำแพง เนื่องจากว่าเงาที่เข้ามาจากทางทิศใต้จะทอดยาวใน ปลายปี/ต้นปี กลับกัน เงาที่เข้ามาจากทางทิศเหนือในช่วงกลางปีจะไม่ได้ทอดยาว จึงไม่จำเป็นต้องเว้นระยะจากสิ่งปลูกสร้างที่ก่อให้เกิดเงา ส่วนพื้นที่บริเวณสีชมพูจะเป็นการเว้นระยะจากเงาที่เกิดขึ้นในช่วงบ่าย เงาที่มาจากช่วงเวลาของวัน เราจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย เพราะฉะนั้น อย่างน้อยเราสามารถเลือกให้เงากระทบหลังจากบ่าย 3-4 โมงเป็นต้นไป เพื่อให้ผลกระทบน้อยที่สุด เพราะว่าตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ๆ กำลังการผลิตของระบบก็ลดลงค่อนข้างมากแล้ว
การเว้นระยะห่างของแผงโซล่าเซลล์ที่ดี ควรให้มีพื้นที่เข้าถึงทุกๆแผง กรณีล้างทำความสะอาด หรือถอดเพื่อตรวจสอบข้อต่อ MC4 กรณีแรงดันไฟฟ้าไม่มาหรือร่องรอยการไหม้ ในตัวอย่างการติดตั้งนี้จะมีอยู่ 2ลักษณะ แบบแถวเดี๋ยวซึ่งจะใช้พื้นที่มากกว่า และแบบแถวคู่ (ที่นำแถวเดี่ยวมาประกบกัน 2 แถว) ข้อดีของแถวคู่คือจะสามารถใช้พื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในระหว่างที่ยังสามารถเข้าถึงทุกๆแผงได้ด้วยความสะดวก
ลักษณะการใช้ไฟฟ้า
อีกหนึ่งข้อควรพิจารณาที่สำคัญในการเลือกขนาดกำลังการผลิตของโซล่ารูฟท็อป (Solar Rooftop) ก็คือการทำความเข้าใจกับลักษณะการใช้ไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า Load Profile โดยส่วนใหญ่แล้ว สำหรับบ้านพักอาศัย การใช้ไฟฟ้าหลักจะเกิดขึ้นตอนกลางคือเพื่อเปิดแอร์นอน กลางวันอาจจะมีใช้บ้างแต่ไม่เยอะ เพราะส่วนใหญ่จะออกไปทำงานหรือทำธุระนอกบ้านช่วงกลางวัน
หรือธุรกิจประเภทโรงน้ำแข็งซึ่งการใช้ไฟฟ้าหลักจะเป็นช่วงกลางคืน หากออกแบบขนาดของระบบตามบิลค่าไฟฟ้าของการไฟฟ้าฯ ที่ระบุค่ากำลังไฟฟ้าสูงสุดที่ใช้ในรอบ 1 เดือน ผลลัพธ์ที่ได้คือการผลิตไฟฟ้าและการใช้ไฟฟ้าไม่สอดคล้องกัน และตามข้อกำหนดการเชื่อมต่อโครงข่ายของการไฟฟ้าฯ ที่ไม่อนุญาตให้ไฟฟ้าไหลย้อนกลับเข้าโครงข่าย แปลว่าระบบจะต้องหรี่กำลังการผลิตตามที่ใช้จริงในช่วงเวลากลางวัน
ดังนั้น การศึกษาลักษณะการใช้ไฟฟ้าที่ดีจะทำให้สามารถออกแบบขนาดที่ใช้ศักยภาพของระบบได้มากที่สุด และผลลัพธ์ของการที่ใช้ศักยภาพได้มาที่สุด ระบบจะหรี่กำลังการผลิตน้อยลง การผลิตและการใช้ไฟฟ้าสอดคล้องกัน ซึ่งจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
แต่จากประสบการณ์ วิธีการกำหนดค่ากำลังการผลิตของแผงโซล่าเซลล์ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดี ให้ศึกษาการใช้ไฟฟ้าปกติ ย้อนหลังอย่างน้อย 1 ปี แล้วกำหนดให้ค่ากำลังการผลิตรวมของแผงโซล่าเซลล์อยู่ที่ 1.2 – 1.5 เท่าของกำลังไฟฟ้าที่ใช้ในปกติช่วงเที่ยงวัน (หรือถ้าทั้งชอบให้มีศักยภาพล้นๆหน่อย ก็สามารถจัดให้ที่ ไม่เกิน 2 เท่า) การกำหนดขนาดกำลังการผลิตรวมของแผงโซล่าเซลล์ตามนี้ จะทำให้ทดแทนไฟฟ้าได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยระยะเวลาคืนทุนที่ optimal ที่สุด
อุปกรณ์ควบคุมการผลิตไฟฟ้า (Zero-Export Controller) ควรติดตั้งที่แรงต่ำหรือแรงสูง
สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายเล็ก ระดับบ้านหรือออฟฟิศ ที่รับไฟฟ้าแรงดันต่ำจากการไฟฟ้า คำตอบที่ง่ายก็คือเราจะติดตั้งระบบ zero-export controller ที่แรงดันต่ำเท่านั้น เพราะเราจะไม่มีส่วนที่เป็นแรงดันสูง zero-export controller ที่แรงดันต่ำจะมีค่าติดตั้งที่หลักพันถึงหลักหมื่นบาท (ขึ้นอยู่กับขนาดการติดตั้ง) ซึ่งจะเป็นมิเตอร์ไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่ใช้ร่วมกับอินเวอร์เตอร์ วัดโหลดรวมของตู้ไฟหลักและส่งค่าที่วัดได้ไปที่อินเวอร์เตอร์เพื่อที่จะแปลงไฟฟ้าจาก DC มาเป็น ไฟฟ้า AC ให้พอดีกับโหลดที่ใช้และไฟฟ้าจะไม่ไหลย้อนกลับเข้าไปในโครงข่าย
แต่ระบบ zero-export controller แรงสูง มีต้นทุนค่าติดตั้งประมาณ 5-6 แสนบาท ด้วยต้นทุนที่สูงนี้ จึงเหมาะสำหรับโครงการที่มีขนาดกำลังการผลิตใหญ่ระดับหนึ่งขึ้นไป